ยุคออกบวช (พ.ศ.๒๓๖๗ - ๒๓๘๕): อายุ ๓๘ - ๕๖ ปี
สุนทรภู่ เข้าสู่ยุคซึ่งถือว่าเป็นจุดพลิกผันทำให้ตนเองต้องตกระกำลำบากอย่างมาก ถึงขั้นต้องซัดเซพเนจรไปทั่ว โดยหลังจากที่สุนทรภู่รับราชการในกรมอาลักษณ์นานถึง ๓ ปี เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต นอกจากแผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้ ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุดในชีวิต ได้ถึงเป็นกวีที่ปรึกษาในราชสำนักก็พลอยหมดวาสนาไปด้วย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ถึงเหตุที่สุนทรภู่ไม่กล้ารับราชการต่อในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวดังนี้
เล่ากันว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนา ทรงแบ่งตอนนางบุษบาเล่นธาร เมื่อท้าวดาหาไปใช้บนพระราชทานให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้นดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงแต่ง และเมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงวันจะอ่านถวาย พระองค์ทรงมีรับสั่งวานสุนทรภู่ให้ช่วยตรวจดูเสียก่อน สุนทรภู่อ่านแล้วกราบทูลว่า เห็นดีอยู่แล้ว ครั้นถึงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จออก เมื่อโปรดให้อ่านต่อหน้ากวีที่ทรงปรึกษาพร้อมกัน ถึงบทแห่งหนึ่งที่ว่า "น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัวปลาแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว" สุนทรภู่ติว่ายังไม่ดี และขอแก้เป็น "น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลาว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวไหว" ทรงโปรดตามที่สุนทรภู่แก้ พอเสด็จขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงกริ้ว และดำรัสว่า เมื่อขอให้ตรวจ ทำไมจึงไม่แก้ไข แกล้งนิ่งเอาไปไว้ติหักหน้ากลางคัน เป็นเรื่องที่ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ครั้งหนึ่ง
อีกครั้งหนึ่ง รับสั่งให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งบทละครเรื่องสังข์ทอง ตอนท้าวสามลจะให้ลูกสาวเลือกคู่ ทรงแต่งคำปรารภของท้าวสามลว่า "จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้วสมมาดปรารถนา" ครั้นถึงเวลาอ่านถวาย สุนทรภู่ถามขึ้นว่า "ลูกปรารถนาอะไร" พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องแก้เป็นว่า "จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา" ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มาจนตลอดรัชกาลที่ ๒
จะว่าโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจเพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม สุนทรภู่ก็ได้ทำการไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย ประกอบกับความอาลัยเสียใจหนักหนาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่จึงลาออกจากราชการ ซึ่งในช่วงนั้นสุนทรภู่เริ่มกลับมาตกระกำลำบากเหมือนเมื่อช่วงก่อนที่จะเข้ารับราชการ ไม่มีบ้านที่จะอาศัยต้องอาศัยอยู่กับพัด และตาบ ผู้เป็นบุตรกันอยู่ ๓ คน พ่อลูก จะหันหน้าไปพึ่งมารดา (คือแม่ช้อย) ก็เข้ากับพ่อเลี้ยงไม่ได้ จะหันไปพึ่งพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ซึ่งทรงประทับ ณ วัดระฆัง ก็กระดากใจ เพราะพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว จะไปเป็นศิษย์วัดเหมือนสมัยยังหนุ่ม ก็ดูจะกระไรอยู่ นอกจากนี้ บรรดาเพื่อนฝูงหรือเจ้านายพระองค์ใดก็ไม่กล้ารับอุปการะช่วยเหลือสุนทรภู่ เพราะเกรงพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงไม่โปรดสุนทรภู่ แม้แต่เจ้าฟ้าอาภรณ์ที่สุนทรภู่เป็นพระอาจารย์สอนหนังสือให้ ก็ยังทรงเมินเฉย ไม่ยอมรับอุปการะช่วยเหลือทำให้สุนทรภู่ตกระกำลำบาก จนกระทั่งสุดท้าย สุนทรภู่ตัดสินใจเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพักตร์ เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ได้เผยความในใจนี้ ในตอนหนึ่งของนิราศภูเขาทองว่า
จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งบุญถวาย ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป
สุนทรภู่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในปีวอก พ.ศ.๒๓๖๗ ขณะมีอายุได้ ๓๘ ปี ณ วัดระฆังโฆสิตาราม โดยมีพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ทรงอุปถัมภ์การบวชครั้งนี้และเมื่อบวชแล้วก็ได้เริ่มจำพรรษาอยู่ที่วัดเลียบ หรือวัดราชบูรณะ ในปัจจุบันนั่นเอง
หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทแล้ว หลังจากที่ได้จำพรรษาในวัดเลียบได้ประมาณปีหนึ่ง ก็ได้ออกจาริกแสวงบุญไปยังที่ต่าง เล่ากันว่า ท่านได้เดินทางไปยังหัวเมืองต่างๆ หลายแห่ง เช่น เมืองพิษณุโลก เมืองประจวบคีรีขันธ์ จนถึงเมืองถลางหรือภูเก็ต และเชื่อกันว่า ท่านคงจะเขียนนิราศเมืองต่างๆนี้ไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่ยังค้นหาต้นฉบับไม่พบ ราวปี พ.ศ.๒๓๗๐ ท่านก็กลับมาจำพรรษาที่วัดราชบูรณะ หรือวัดเลียบ แต่หลังจากกลับมาอยู่ได้ไม่นาน สุนทรภู่เกิดอธิกรณ์ (ความผิด) ขึ้น หลังจากที่สุนทรภู่ได้ไปทะเลาะวิวาทกับพระลูกวัด อาจด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง (บางแห่งสันนิษฐานว่าท่านเมาสุรา) ทำให้ถูกเจ้าอาวาสขับสุนทรภู่ออกจากวัด
สุนทรภู่เมื่อถูกขับออกจากวัดเลียบแล้ว ก็กลับมาอยู่ในสภาพตกระกำลำบาก ไร้ที่อยู่อาศัยอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งสุนทรภู่เริ่มเบื่อหน่ายกับการจำพรรษาที่วัดในกรุงเทพฯ ทำให้ท่านตัดสินใจไปจำพรรษาที่วัดซึ่งห่างไกลจากความเจริญ โดยที่หลังจากท่านได้รับกฐินในปลายปี พ.ศ.๒๓๗๑ ท่านก็ออกเดินทางไปกรุงเก่า (พระนครศรีอยุธยา) ไปพร้อม พัด ลูกชายคนโต โดยที่ลงเรือที่หน้าวัด และก็ออกเดินทางทันที แต่ปรากฏว่าท่านกลับมิได้ตัดสินใจจำพรรษาที่กรุงเก่าตามที่ได้ตั้งใจไว้
อย่างไรก็ดี ท่านเดินทางไปไหว้สักการะพระเจดีย์ภูเขาทอง ซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่นั่น พร้อมด้วยหนูพัด ลูกชายคนโตนั่นเอง และหลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ได้เดินทางกลับมายังกรุงเทพฯ แต่ได้ย้ายวัดมาจำพรรษาอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และที่นั่นเอง สุนทรภู่ก็ได้แต่งนิราศภูเขาทอง อันเป็นนิราศเรื่องเยี่ยมที่สุดของท่าน และเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของวงการกวีไทย เพราะได้รับการยกย่องทั้งความไพเราะของบทกลอน และการดำเนินเรื่องที่ซาบซึ้งกินใจ โดยที่สุนทรภู่ได้บรรยายระยะเวลา ๓ ปี แห่งความลำบากของท่านขณะที่ท่านอุปสมบทอยู่ ซึ่งท่านลำบากมากจนแทบเอาชีวิตไม่รอด โดยท่านรำพันไว้ว่า
จะสึกหาลาพระอธิษฐาน โดยกันดารเดือดร้อนสุดผ่อนผัน
พอพวกพระอภัยมณี ศรีสุวรรณ เธอช่วยกันแก้ร้อนค่อยหย่อนเย็น
อยู่มาพระสิงหะไตรภพโลก เห็นเศร้าโศกแสนแค้นสุดแสนเข็ญ
ทุกค่ำคืนฝืนหน้าน้ำตากระเด็น พระโปรดเป็นที่พึ่งเหมือนหนึ่งพัก
ดังไข้หนักรักษาวางยาทิพย์ ฉันทองหยิบฝอยทองไม่ต้องสึก
ค่อยฝ่าฝืนชื่นฉ่ำดังอำมฤค แต่ตกลึกเหลือที่จะได้สบายฯ
พอพวกพระอภัยมณี ศรีสุวรรณ เธอช่วยกันแก้ร้อนค่อยหย่อนเย็น
อยู่มาพระสิงหะไตรภพโลก เห็นเศร้าโศกแสนแค้นสุดแสนเข็ญ
ทุกค่ำคืนฝืนหน้าน้ำตากระเด็น พระโปรดเป็นที่พึ่งเหมือนหนึ่งพัก
ดังไข้หนักรักษาวางยาทิพย์ ฉันทองหยิบฝอยทองไม่ต้องสึก
ค่อยฝ่าฝืนชื่นฉ่ำดังอำมฤค แต่ตกลึกเหลือที่จะได้สบายฯ
เมื่อพระสุนทรภู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้ง ปีพ.ศ.๒๓๗๒ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงฝากเจ้าฟ้ากลาง (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงเป็นต้นราชสกุล มาลากุล) และเจ้าฟ้าปิ๋ว พระโอรสองค์กลาง และองค์น้อย ซึ่งมีพระชันษาได้ ๑๑ ปี และ ๘ ปีตามลำดับให้เป็นศิษย์ของสุนทรภู่ โดยที่สุนทรภู่ได้สั่งสอนจนพระโอรสทั้ง ๒ ทรงอ่านออกเขียนได้ และนอกจากนี้ สุนทรภู่ยังได้แต่ง เพลงยาวถวายโอวาท ซึ่งเป็นผลงานประเภทกลอนสุภาษิตเพื่อถวายแด่พระโอรสทั้ง ๒ อีกด้วย การมีศิษย์ชั้นเจ้าฟ้าเช่นนี้จึงทำให้พระสุนทรภู่อยู่สุขสบายขึ้น พระสุนทรภู่อยู่วัดอรุณราชวรารามราว ๒ ปี จึงข้ามฟากมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์
เล่ากันถึงสาเหตุที่พระสุนทรภู่ย้ายวัดมาก็เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน สมเด็จฯ ทรงเป็นกวีองค์สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์หนึ่ง เพราะพระองค์ทรงมีความเชี่ยวชาญในการแต่งโคลงกลอน ลิลิต และฉันท์ พระนิพนธ์ของพระองค์นั้นมีมาก ที่สำคัญและมีชื่อเสียงเช่น ลิลิตตะเลงพ่าย, กฤษณาสอนน้อง(คำฉันท์), สมุทรโฆษคำฉันท์ (ตอนท้าย) เป็นต้น และเนื่องจากสมเด็จฯ ทรงคุ้นเคยกับสุนทรภู่ในฐานะที่เป็นกวีด้วยกัน โดยเฉพาะสมัยที่สุนทรภู่เป็นขุนสุนทรโวหารในรัชกาลที่ ๒ ทำให้สุนทรภู่ได้ย้ายที่จำพรรษามาอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามทันที หลังจากบวชได้ประมาณ ๗ - ๘ พรรษา ซึ่งในขณะนั้น พระสุนทรภู่มีอายุได้ ๔๕ ปี
เล่ากันถึงสาเหตุที่พระสุนทรภู่ย้ายวัดมาก็เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน สมเด็จฯ ทรงเป็นกวีองค์สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์หนึ่ง เพราะพระองค์ทรงมีความเชี่ยวชาญในการแต่งโคลงกลอน ลิลิต และฉันท์ พระนิพนธ์ของพระองค์นั้นมีมาก ที่สำคัญและมีชื่อเสียงเช่น ลิลิตตะเลงพ่าย, กฤษณาสอนน้อง(คำฉันท์), สมุทรโฆษคำฉันท์ (ตอนท้าย) เป็นต้น และเนื่องจากสมเด็จฯ ทรงคุ้นเคยกับสุนทรภู่ในฐานะที่เป็นกวีด้วยกัน โดยเฉพาะสมัยที่สุนทรภู่เป็นขุนสุนทรโวหารในรัชกาลที่ ๒ ทำให้สุนทรภู่ได้ย้ายที่จำพรรษามาอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามทันที หลังจากบวชได้ประมาณ ๗ - ๘ พรรษา ซึ่งในขณะนั้น พระสุนทรภู่มีอายุได้ ๔๕ ปี
แต่เมื่อบวชเรียนอยู่ไปได้ไม่นานนัก ชีพจรลงเท้าสุนทรภู่อีกครั้งเมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ และยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะไปค้นหาถึงที่ซึ่งการค้นหายาอายุวัฒนะของท่านในครั้งนี้ ทำให้เกิดนิราศวัดเจ้าฟ้า ขึ้นมา โดยที่นิราศวัดเจ้าฟ้าได้บรรยายเรื่องเล่าการไปขุดค้นหายาอายุวัฒนะของท่านที่กรุงเก่า(จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) อีกด้วย
ต่อมาไม่นานนัก สุนทรภู่ก็ได้ไปจำพรรษาที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ หลังจากที่ได้รับการเชิญชวนจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเคยผนวชที่วัดพระเชตุพนฯ วัดเดียวกันกับสุนทรภู่ แล้วทรงรู้จัก และคุ้นเคยสุนทรภู่เป็นอย่างดี เพราะทรงโปรดสักวาเป็นอย่างมาก และเมื่อพระองค์เจ้าลักขณานุคุณทรงลาผนวชแล้ว ก็ทรงไปประทับที่วังท่าพระ (ปัจจุบันคือบริเวณมหาวิทยาลัยศิลปากร) และก็ยังทรงชักชวนพระสุนทรภู่ให้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์อีกด้วย เพื่อให้พระองค์สะดวกในการอุปถัมภ์พระสุนทรภู่ โดยระหว่างที่พระสุนทรภู่จำพรรษาที่วัดมหาธาตุฯ นี้
สุนทรภู่ได้แต่งกลอน เฉลิมพระเกียรติพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับ นิราศอิเหนา ตอนบุษบาถูกลมหอบ ถวายแด่พระองค์เจ้าลักขณานุคุณทั้งสองเรื่อง ต่อมาในปีพ.ศ.๒๓๗๖ สุนทรภู่ได้เดินทางไปนมัสการ พระแท่นดงรัง (ปัจจุบันอยู่ในต.ท่าเรือ อ.ท่าม่วง) ที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยไปพร้อมกับสามเณรกลั่นลูกเลี้ยง โดยที่สามเณรกลั่นนั้นได้แต่ง นิราศพระแท่นดงรัง ขึ้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้มีบทกลอนตอนหนึ่งซึ่งได้บอกถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อพระสุนทรภู่ว่า
พระคุณใดไม่เท่าคุณพระสุนทร เหมือนบิดรโดยจริงทุกสิ่งอันฯ
ปรากฏว่าหลังจากที่สุนทรภู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์มาได้ ๓ ปี พระองค์เจ้าลักขณานุคุณก็ทรงสิ้นพระชนม์ เมื่อปีพ.ศ.๒๓๗๘ ทำให้สุนทรภู่ต้องกลับมาลำบากอีกครั้งหนึ่ง ครานั้น พระสุนทรภู่ได้ตัดสินใจย้ายที่จำพรรษาจากกวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ มายังวัดสระเกศ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับมารดาของท่าน (คือ แม่ช้อย) ซึ่งได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๗ และได้เก็บศพไว้ตั้งบำเพ็ญกุศล โดยยังมิได้ฌาปนกิจ
ครั้นถึงปีพ.ศ. ๒๓๗๙ ท่านตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองสุพรรณบุรี (จ.สุพรรณบุรี) หลังจากที่ได้ทราบข่าวลือว่ามีการค้นพบแร่ชนิดหนึ่งที่จะแปรสภาพให้เป็นทองคำได้ ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้นนับเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการเดินทางครั้งที่ผ่านๆมาของท่านสุนทรภู่ เพราะการเดินทางครั้งนั้น ท่านเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากฝูงโขลงช้างที่คอยปกป้องรักษา พระเจดีย์ที่สุนทรภู่คาดว่าเป็นที่ซ่อนแร่ดังกล่าว ซึ่งพระเจดีย์นั้นตั้งอยู่ในป่าลึกบริเวณเทือกเขาตะนาวศรี รอยต่อชายแดนไทย-พม่า ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ท่านสุนทรภู่ได้แต่งนิราศอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง นิราศสุพรรณ ซึ่งเป็นนิราศเพียงเรื่องเดียวในชีวิตของสุนทรภู่ ที่ได้แต่งเป็นโคลง เพราะตามปกตินิราศของท่านจะแต่งโดยใช้กลอนเพลงยาว (ภายหลัง เรารู้จักกันในชื่อ กลอนสุภาพ หรือ กลอนแปด) แต่ว่าจริงๆแล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ถึงเหตุที่ สุนทรภู่ใช้โคลงในการแต่งนิราศสุพรรณว่า
ครั้นถึงปีพ.ศ. ๒๓๗๙ ท่านตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองสุพรรณบุรี (จ.สุพรรณบุรี) หลังจากที่ได้ทราบข่าวลือว่ามีการค้นพบแร่ชนิดหนึ่งที่จะแปรสภาพให้เป็นทองคำได้ ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้นนับเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการเดินทางครั้งที่ผ่านๆมาของท่านสุนทรภู่ เพราะการเดินทางครั้งนั้น ท่านเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากฝูงโขลงช้างที่คอยปกป้องรักษา พระเจดีย์ที่สุนทรภู่คาดว่าเป็นที่ซ่อนแร่ดังกล่าว ซึ่งพระเจดีย์นั้นตั้งอยู่ในป่าลึกบริเวณเทือกเขาตะนาวศรี รอยต่อชายแดนไทย-พม่า ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ท่านสุนทรภู่ได้แต่งนิราศอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง นิราศสุพรรณ ซึ่งเป็นนิราศเพียงเรื่องเดียวในชีวิตของสุนทรภู่ ที่ได้แต่งเป็นโคลง เพราะตามปกตินิราศของท่านจะแต่งโดยใช้กลอนเพลงยาว (ภายหลัง เรารู้จักกันในชื่อ กลอนสุภาพ หรือ กลอนแปด) แต่ว่าจริงๆแล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ถึงเหตุที่ สุนทรภู่ใช้โคลงในการแต่งนิราศสุพรรณว่า
เมื่อครั้นสุนทรภู่ได้ไปจำพรรษาที่วัดเทพธิดารามนั้น อาจเป็นไปได้ว่าสุนทรภู่ถูกสบประมาทว่าแต่งเป็นแต่กลอนเพลงยาว (กลอนสุภาพ หรือกลอนแปด) สุนทรภู่จึงได้ตัดสินใจแต่งนิราศสุพรรณให้เป็นโคลง และแต่งเรื่อง พระไชยสุริยา ซึ่งกำลังแต่งด้วยขณะที่ท่านสุนทรภู่จำพรรษาให้เป็นกาพย์ไปด้วย เพื่อพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นว่าสามารถแต่งโคลง และกาพย์ได้เป็นเช่นกัน ไม่ใช่แค่กลอนเพลงยาวเพียงอย่างเดียว
หลังจากที่พระสุนทรภู่ได้เดินทางกลับมาจากเมืองสุพรรณบุรี ท่านก็ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศ จนกระทั่งปีพ.ศ.๒๓๘๓ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระเจ้าพี่นางเธอของพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ทรงมีพระเมตตา และได้อุปถัมภ์พระสุนทรภู่โดยให้ย้ายที่จำพรรษาจากวัดสระเกศมาเป็นวัดเทพธิดาราม ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๓ โดยที่กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงร่วมบริจาคทรัพย์ในการสร้างวัดนี้ และทรงเดินทางไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพธิดารามนี้เป็นประจำ แต่เนื่องด้วยพระองค์ทรงมีพระชนมายุที่สั้น ทำให้ในปีพ.ศ.๒๓๘๘ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเสด็จสิ้นพระชนม์ อันเป็นการสร้างความโทมนัสให้กับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดายิ่งนัก
ในระหว่างที่ได้รับการอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระสุนทรภู่มีจิตใจที่สงบและปลอดโปร่งมากที่สุด ฉะนั้นเมื่อกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงพอพระทัยในนิทาน พระอภัยมณีที่สุนทรภู่ได้แต่งค้างไว้ยังไม่จบ ทำให้สุนทรภู่ต้องนำมาแต่งต่อ และขึ้นถวายเดือนละ ๑ เล่มสมุดไทย
นอกจากนี้แล้ว สุนทรภู่ยังเขียน กาพย์พระไชยสุริยา เป็นเรื่องราวสำหรับสอนศีลธรรมซึ่งสะท้อนสังคมในยุคสมัยนั้น พระสุนทรภู่แต่งออกเป็น ๓ ชนิด สำหรับสอนอ่าน ผัน และสะกด นอกจากนี้เหล่านิทานคำกลอนเรื่องต่างๆที่พระสุนทรภู่แต่งค้างคาไว้เมื่อครั้นรัชกาลที่ ๒ ก็นำออกมาแต่งต่อ ได้แก่เรื่อง สิงหไตรภพ ลักษณวงศ์ เป็นต้น
แต่แล้วหลังจากที่สุนทรภู่จำพรรษาได้ไปประมาณ ๓ พรรษา คืนวันหนึ่งหลังจากที่ท่านสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ท่านจำวัดในกุฎิแล้วฝันไปว่า ตัวท่านนั้นกำลังว่ายน้ำอยู่ในทะเลใกล้จะหมดแรงแล้ว แต่ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งยื่นออกมาฉุดท่านไว้มิให้จมน้ำ ปรากฏว่าเป็นหญิงสาว แล้วพาท่านมาที่วัด ในฝันท่านเห็นพระศิลาขาวผ่องดั่งสำลี (คาดว่าเป็นหลวงพ่อขาว พระประธานในพระอุโบสถ วัดเทพธิดาราม) และพระทอง ๒ องค์ล้วนทรงเครื่อง (พระพุทธรูปทรงเครื่องในพระอุโบสถ ที่ประดิษฐานอยู่ ๒ ข้างองค์หลวงพ่อขาว) โดยที่ในความฝันนั้น ท่านอยู่ในหมู่เทพธิดานางฟ้าที่เข้ามารายล้อมตัวท่าน และต่างชวนท่านไปอยู่บนสวรรค์ แถมบอกท่านอีกว่าชะตาขาดจะต้องตายในปีนี้
หลังจากพระสุนทรภู่ตื่นจากความฝัน ท่านก็ตกใจมาก รีบจดวัน เดือน ปีที่ท่านฝันทันที ซึ่งตรงกับวันจันทร์ เดือน ๘ ปีขาล พ.ศ.๒๓๘๕ หลังจากนั้นท่านจึงแต่งรำพันพิลาป ขึ้น เพื่อเป็นการอำลาชีวิตสมณเพศของท่าน ซึ่งอยู่มานานถึง ๑๘ ปี โดยในรำพันพิลาปได้มีบทกลอนระบุเหตุด้วยดังนี้
โอ้ยามนี้ปีขาลสงสารวัด เคยโสมนัสในอารามสามวสา
สิ้นกุศลผลบุญกรุณา จะจำลาเลยลับไปนับนาน
โอ้ยามนี้ปีขาลสงสารวัด เคยโสมนัสในอารามสามวสา
สิ้นกุศลผลบุญกรุณา จะจำลาเลยลับไปนับนาน
และหลังพรรษาในปีนั้นนี่เอง พระสุนทรภู่ก็ตัดสินใจลาสิกขาบท ออกมาใช้ชีวิตทางโลกอีกครั้งหลังจากครองสมณเพศนานถึง ๑๘ ปี ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ ๕๖ ปี แต่ว่าฝันนั้นดูแล้วไม่น่าจะเป็นลางร้าย กลับเป็นเหมือนลางบอกเหตุว่าสุนทรภู่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก่อนจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตต่างหาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น