ก่อนรับราชการ (พ.ศ.๒๓๔๙ - ๒๓๕๙): อายุ ๒๑ - ๓๐ ปี
สุนทรภู่หลังจากกลับจากเมืองแกลงแล้ว สุนทรภู่ก็ได้ไปเป็นมหาดเล็กในพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตารามเช่นเคย ในช่วงนี้สุนทรภู่ก็สมหวังในรักเมื่อพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่ได้ไปสู่ขอแม่จันมาเป็นภรรยา และสุนทรภู่ก็ได้แม่จันมาเป็นภรรยาสมใจ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อแต่งงานกันไปได้เพียง ๕ เดือน เนื่องด้วยสุนทรภู่เป็นคนเจ้าชู้ ติดเหล้า และมีเพื่อนฝูงมาก ทำให้เริ่มมีปากเสียงกับแม่จัน ยังไม่ทันได้คืนดีสุนทรภู่ก็ต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาทจ.สระบุรี ในวันมาฆบูชาเมื่อขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ (วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐) และนี่เองที่สุนทรภู่ได้แต่งนิราศเรื่องที่ ๒ ของตนขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์กลับถึงกรุงเทพฯ ในวันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ (วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐)
สุนทรภู่หลังจากกลับจากเมืองแกลงแล้ว สุนทรภู่ก็ได้ไปเป็นมหาดเล็กในพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตารามเช่นเคย ในช่วงนี้สุนทรภู่ก็สมหวังในรักเมื่อพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่ได้ไปสู่ขอแม่จันมาเป็นภรรยา และสุนทรภู่ก็ได้แม่จันมาเป็นภรรยาสมใจ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อแต่งงานกันไปได้เพียง ๕ เดือน เนื่องด้วยสุนทรภู่เป็นคนเจ้าชู้ ติดเหล้า และมีเพื่อนฝูงมาก ทำให้เริ่มมีปากเสียงกับแม่จัน ยังไม่ทันได้คืนดีสุนทรภู่ก็ต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาทจ.สระบุรี ในวันมาฆบูชาเมื่อขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ (วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐) และนี่เองที่สุนทรภู่ได้แต่งนิราศเรื่องที่ ๒ ของตนขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์กลับถึงกรุงเทพฯ ในวันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ (วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐)
สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คนเป็นชายชื่อพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่น เพราะสุนทรภู่ยังคงประพฤติตนเป็นคนขี้เหล้า และเจ้าชู้ต่อไป ในที่สุดแม่จันก็ทนไม่ไหว ขอหย่าร้างสุนทรภู่ไป ส่วนพัดนั้น พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอกทองอยู่) ได้รับอุปการะเลี้ยงดูหนูพัดนั้นไว้ แต่หลังการหย่าร้างแม่จันไม่นาน ก็ไปได้ภรรยาคนที่ ๒ ชื่อ แม่นิ่ม ชาวสวนบางกรวย และมีบุตรด้วยกัน ๑ คนเป็นชายชื่อตาบ แต่ว่าหลังจากแม่นิ่มคลอดหนูตาบแล้ว ก็เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะตลอดมา และก็ตายไปเมื่อลูกยังอายุน้อยนี่เอง สุนทรภู่ก็กลายเป็นคนขี้เมาจนแทบจะเสียคน เพื่อจะให้ลืมความรักที่ขมขื่น และก็พาหนูตาบไปฝากไว้ให้เจ้าครอกทองอยู่เป็นผู้เลี้ยงไว้เช่นเคยในวังหลังคู่กับหนูพัด ส่วนสุนทรภู่ก็หนีไปเพื่อบารมีของหม่อมบุนนาค พระชายาในกรมพระราชวังหลังที่จังหวัด เพชรบุรี และทำไร่ทำนาอยู่กับหม่อมบุญนาค ดังความตอนหนึ่งในนิราศเมืองเพชร ที่ท่านย้อนรำลึกความหลังสมัยยังหนุ่มว่า
ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุญนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาสัย
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนาท่านการุญ
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนาท่านการุญ
นักเลงกลอนอย่างท่านสุนทรภู่ ทำไร่ทำนาอยู่นานก็ชักเบื่อ หลังจากอยู่กับหม่อมบุนนาคมาได้ ๖ ปี สุนทรภู่ได้เดินทางกลับมากรุงเทพฯอีกครั้ง เมื่ออายุได้ ๒๗ ปี โดยมาอาศัยอยู่กับพระองค์เจ้าปฐมวงศ์อีกเช่นเคย แล้วหากินโดยการรับจ้างแต่งเพลงยาว บอกบทสักวา จนถึงบอกบทละครนอก และในช่วงนั้นเองสุนทรภู่ก็ได้แต่งนิทานเรื่องแรกของท่าน (สมัยนั้นเรียกกลอนนิทาน) ได้แก่เรื่อง โคบุตร ความยาว ๘ เล่มสมุดไทย เพื่อถวายแด่พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ การที่เกิดมีนิทานเรื่องใหม่ๆ ทำให้เป็นที่สนใจมาก เพราะสมัยนั้นมีแต่กลอนนิทานจักรๆ วงศ์ๆ ไม่กี่เรื่อง ซ้ำไปซ้ำมาจนคนอ่านคนดูรู้เรื่องตลอดหมดแล้ว นิทานของท่านทำให้นายบุญยัง เจ้าของคณะละครนอกชื่อดังในสมัยนั้น มาติดต่อว่าจ้างสุนทรภู่ ท่านจึงได้ร่วมคณะละครของนายบุญยัง เป็นทั้งคนแต่งบท และบอกบทเดินทางเร่ร่อนไปกับคณะละครจนทั่ว ดังตอนหนึ่งใน นิราศสุพรรณคำโคลง ท่านรำลึกถึงครั้งเดินทางกับคณะละครว่า
บางระมาดมิ่งมิตรครั้ง คราวงาน
บอกบทบุญยังพยาน พยักหน้า
ประทุนประดิษฐาน แทนฮ่อง หอเอย
แหวนประดับกับผ้า พี่อ้างรางวัล
บอกบทบุญยังพยาน พยักหน้า
ประทุนประดิษฐาน แทนฮ่อง หอเอย
แหวนประดับกับผ้า พี่อ้างรางวัล
ต่อมาไม่นาน ในปีพ.ศ.๒๓๕๘ สุนทรภู่ได้เขียนนิทานเรื่องสำคัญที่สุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดนั่นคือเรื่อง พระอภัยมณี ซึ่งมีความยาว ๙๔ เล่มสมุดไทย เพียงแต่ว่ายังคงแต่งเพียงช่วงต้นเรื่องเท่านั้น (ช่วงปลายเรื่องนั้น สุนทรภู่แต่งขึ้นเพื่อถวายแด่กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ดูที่ช่วงบั้นปลายชีวิตของท่าน) ซึ่งนิทานเรื่องนี้แปลกแหวกแนวยิ่งกว่านิทานจักรๆ วงศ์ๆ เรื่องใดที่เคยมีมา เป็นนิทานที่มีทุกรสชาติ ซึ่งจากนิทานเรื่องพระอภัยมณีนี้ ก็ทำให้คณะละครนายบุญยังโด่งดังเป็นพลุ และเป็นที่ต้องการของใครต่อใคร และแน่นอนชื่อเสียงของท่านสุนทรภู่ก็โด่งดังไปไม่แพ้กันทั่วทั้งกรุงเทพฯ และหัวเมืองใกล้เคียง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น