วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บั้นปลายชีวิตสุนทรภู่

บั้นปลายชีวิตสุนทรภู่ 
บั้นปลายชีวิต (พ.ศ.๒๓๘๕ - ๒๓๙๘): อายุ ๕๖ - ๖๙ ปี
          สุนทรภู่ ในช่วงบั้นปลายชีวิต ก็เริ่มมีความเป็นอยู่ดีขึ้น เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นทรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์  โปรดอุปถัมภ์ให้สุนทรภู่ไปอยู่พระราชวังเดิม ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ในขณะนั้นด้วย (พระราชวังเดิม คือพระราชวังที่เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ปัจจุบันเป็นที่ทำการกองทัพเรือ)  ซึ่งทำให้ชีวิตของสุนทรภู่เริ่มมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ด้วยนิสัยนักเดินทาง เมื่ออาศัยอยู่ในพระราชวังเดิมนานประมาณ ๔ เดือน ก็เดินทางไปยังเมืองนครชัยศรี (ปัจจุบันคืออ.นครชัยศรี จ.นครปฐม)  เพื่อไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ก่อนที่จะได้แต่งนิราศพระประธม ซึ่งเป็นนิราศเรื่องที่ ๘ ของท่าน บรรยายถึงการเดินทางไปในครั้งนั้น
          แต่ว่าในปีพ.ศ.๒๓๘๘ หลังจากได้พึ่งพระบารมีสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ได้ประมาณ ๒-๓ ปี กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงเสด็จสิ้นพระชนม์ ซึ่งนั่นถือเป็นการสูญเสียผู้ที่อุปการะเมตตาสุนทรภู่อีกพระองค์หนึ่ง เพราะท่านได้อุปการะสุนทรภู่ให้มีชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และทำให้สุนทรภู่ได้สานต่อผลงานของตนเองที่คั่งค้างไว้ให้สำเร็จบริบูรณ์ เป็นที่ประจักษ์สายตาแก่อนุชนรุ่นหลังของไทย  ปรากฏว่าเมื่อปลายรัชกาลที่ ๓ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ทรงโปรดให้สุนทรภู่ไปทำธุระส่วนพระองค์ที่เมืองเพชรบุรี ในปีพ.ศ.๒๓๙๒  ภายหลังจากที่เคยไปอยู่พึ่งบารมีของหม่อมบุนนาค (ชายาของกรมพระราชวังหลัง) ทำนาที่เมืองเพชรมาแล้ว  ซึ่งจากการเดินทางไปเมืองเพชรบุรีครั้งนี้  สุนทรภู่ก็ได้แต่งนิราศเรื่องที่ ๙ ของท่าน ซึ่งถือเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตนั่นคือ นิราศเมืองเพชร
          เมื่อวันพุธขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๓๙๔  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ทรงมีพระชนมายุได้ ๖๓ พรรษา  และทรงอยู่ในราชสมบัติประมาณ ๒๗ ปี  ทำให้เหล่าเจ้าฟ้าข้าราชบริพารตัดสินใจเลือก สมเด็จเจ้าฟ้าชายมงกุฎสมมุติเทวาวงศ์ พงศาอิศวรกษัตริย์ ขัตติยราชกุมาร ซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลานานถึง ๒๗ ปี (ตลอดรัชกาลที่ ๓) ให้ทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  และทันทีทันใดที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชสมบัติ  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  โดยทรงโปรดให้ประทับ ณ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)
          เป็นเวลานานถึง ๙ ปีที่สุนทรภู่ไปพึ่งพระบารมีพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระราชวังเดิม  นับตั้งแต่ลาสิกขาบทเมื่อพ.ศ.๒๓๘๕ และตามเสด็จมา อยู่ที่วังหน้า เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้แต่งตั้งสุนทรภู่เป็น เจ้ากรมอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) มีบรรดาศักดิ์เป็น พระสุนทรโวหาร ในปีพ.ศ.๒๓๙๔  ขณะมีอายุได้ ๖๕ ปี  โดยระหว่างที่รับราชการ
          ณ พระราชวังบวรสถานมงคลนั้น พระสุนทรโวหารได้แต่งบทละครเรื่อง อภัยนุราช ถวายแด่พระองค์เจ้าหญิงดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และแต่งบทกลอนถวายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกหลายเรื่อง  เช่นบทเห่กล่อมทั้งหมด ๔ เรื่อง ซึ่งใช้กล่อมเจ้านายขณะที่ทรงพระเยาว์ให้ทรงหลับ โดยที่บทเห่กล่อมทั้ง ๔ เรื่องนี้ ใช้กล่อมบรรทมเจ้านายทั้งพระบรมมหาราชวังตลอดสมัยรัชกาลที่ ๔  นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งเสภาพระราชพงศาวดาร อีกเรื่องหนึ่งด้วย
          พระสุนทรภู่โวหาร เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลได้รับราชการไปได้ ๔ ปี  ก่อนที่ท่านจินตกวีเอกของไทย และของโลกผู้นี้จะถึงแก่อนิจกรรมอย่างเป็นสุข เมื่อปีเถาะ พ.ศ.๒๓๙๘  สิริอายุได้ ๖๙ ปี  ผู้ที่สืบเชื้อสายจากสุนทรภู่นั้นใช้นามสกุลว่า ภู่เรือหงษ์
          หลังจากท่านสุนทรภู่ถึงแก่อนิจกรรมได้ ๑๓๑ ปี  ท่านได้รับเกียรติจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม หรือนัยหนึ่งคือเป็นกวีเอกของโลก  เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านนับเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติเป็น คนที่ ๕  และเป็นสามัญชนคนแรกที่ได้รับเกียรติถึงขั้นเป็นกวีเอกของโลก

1 ความคิดเห็น: